
ทำไมบริษัทยุคใหม่ถึงสนใจ Hybrid work model
Hybrid Work Model คืออะไร แล้วทำไมจึงสำคัญกับองค์กร ? หลังจากที่พวกเราได้ฟันฝ่าวิกฤติการณ์โควิด-19 มาได้จนถึงปี 2022 สถานการณ์แวดล้อมของเราก็เริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติ เด็ก ๆ เริ่มกลับไปโรงเรียน คนเริ่มกลับไปใช้ชีวิต ไปท่องเที่ยว หลายออฟฟิศก็เห็นแนวโน้มที่จะกลับมาเปิด On-Site ตามปกติ แต่ในทางกลับกันก็มีหลายคนที่เคยชินกับการทำงานแบบ Remote work (หรือที่เราคุ้นกันในชื่อ Work from home) ไปซะแล้ว ยังมีอีกหลาย ๆ องค์กรที่อยากจะกลับไปเปิดตามปกติ แต่ก็ยังกังวลเรื่องความปลอดภัยและไม่แน่นอนของสถานการณ์
ทำให้เจ้าลูกผสมอย่าง Hybrid working เกิดขึ้นมา
แม้ Hybrid working จะได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในไม่กี่ปีให้หลังนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าการนำการทำงานรูปแบบนี้ไปใช้จริงในองค์กรไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนที่วาดฝันเอาไว้เลย ทั้งนี้ทั้งนั้นบริษัทที่เปิดใจก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าแต่ทำไมกันนะ ? เรามาดูกันดีกว่าว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้ Hybrid work model เป็นสิ่งที่คนทั่วโลกให้ความสนใจกันมากขนาดนี้
Hybrid working คืออะไร
Hybrid working นับได้ว่าเป็นคำยอดฮิตในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมานี้เลย หลาย ๆ คนก็รู้จักเจ้ารูปแบบการทำงานตัวนี้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราจะมา Catch up สั้น ๆ กันว่า Hybrid working มันเป็นยังไง
อย่างที่บอกไปว่าคุณ Hybrid working คนนี้เขาเป็นลูกครึ่ง เพราะพี่แกเกิดจากการผสมผสานกันของการทำงานแบบ Remote work และการทำงานในออฟฟิศ จึงทำให้เกิดความยืดหยุ่นให้ชีวิตการทำงานของคน และสร้างวัฒนธรรมการทำงานแบบใหม่ให้กับโลกใบนี้ จน ครองตำแหน่งรูปแบบการทำงานที่เนื้อหอมสุด ๆ ไปเลย
ประเภท
ปัจจุบันมีอยู่ 5 แบบด้วยกัน ได้แก่
- At-Will and Remote-First Models
- Office-First Model
- Split-Week Model
- Week-By-Week Model
- Designated Teams Hybrid work model
แต่ละประเภทก็จะมีเกณฑ์แบ่งอีกทีตามปัจจัยแต่ละอย่าง คือ
เกณฑ์ที่ 1 สภาพแวดล้อมในการทำงาน
At-Will and Remote-First Models
Model นี้ถือว่าคงคอนเซ็ปต์ Working anywhere ที่แท้ทรู เพราะ At-Will and Remote-First Models ให้สิทธิ์พนักงานในการเลือกสถานที่ทำงานเองได้ พนักงานสามารถเข้าออฟฟิศหรือทำงานที่บ้าน หรือเลือกทำงานที่ไหนก็ได้ คืออยากจะมาออฟฟิศก็มานะ ออฟฟิศเปิดรับคุณเสมอ แต่จะไม่มาก็ไม่เป็นไร ขอแค่ทุกคนสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพก็พอ เชื่อว่าพนักงานหลายคนชอบแบบนี้เพราะมันสามารถออกแบบชีวิตการทำงานเองได้แบบไร้ขีดจำกัดจริง ๆ
Office-First Model
Office-First Model คล้ายกับ Model แบบแรกตรงที่พนักงานสามารถเลือกจะเข้าออฟฟิศหรือไม่เข้าก็ได้เหมือนกัน แต่ความต่างคือ Office-First Model จะเน้นให้ความสำคัญกับการเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศมากกว่า ซึ่งมันมีข้อดีตรงที่บริษัทไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนรูปแบบการทำงานหรือเอาเทคโนโลยีมาปรับใช้มากมาย อาจจะแค่ต้องเปลี่ยนนโยบาย และหาช่องทางที่จะทำให้พนักงานทุกคนสามารถทำงานร่วมกันได้ดีที่สุด
เกณฑ์ที่ 2 ตารางเวลา
Split-Week Model
การทำงานตาม Model นี้จะเปลี่ยนมาเป็นเรื่องของการจัดตารางเวลามากกว่า อย่างแบบแรก Split-Week Model จะเป็นการแบ่งเวลาเข้างานภายในสัปดาห์ เช่น แผนก A อาจจะเข้างาน 3 วันต่อสัปดาห์ แผนก B เข้า 4 วันต่อสัปดาห์ แผนก C เข้าวันเว้นวัน เป็นต้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการตกลงกันในแต่ละแผนกเพื่อที่จะให้ทุกฝ่ายยังสามารถทำงานร่วมกันได้ รูปแบบนี้มีผลดีตรงที่จะช่วยไม่ให้จำนวนพนักงานในออฟฟิศแออัดเกินไป และจะช่วยเสริมสร้างการทำงานเป็นทีม เพราะทุกฝ่ายต้องคอยประสานงานกันอยู่เสมอ
Week-By-Week Model
อีกรูปแบบที่อยู่ในคอนเซ็ปต์ของเวลาคือ Week-By-Week Model จุดเด่นของ Model นี้คือการทำงานแบบสัปดาห์เว้นสัปดาห์ ก็คือในแต่ละสัปดาห์จะมีการวางตารางไว้ว่าฝ่ายไหนต้องเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศเพื่อรายงานผลงานในสัปดาห์นั้นอย่างใกล้ชิด และได้รับการ Assign งานต่อไปเพื่อที่จะเอากลับไปทำที่บ้านในสัปดาห์ต่อ ๆ ไปก่อนจะเอากลับมารายงานผลที่ออฟฟิศในสัปดาห์ที่กำหนดเวลาเอาไว้ ซึ่งจะมีประโยชน์มาก ๆ กับบริษัทที่มีพนักงานเยอะ และยังช่วยลดต้นทุนได้ดีอีกด้วย
เกณฑ์ที่ 3 หน้าที่ของพนักงาน
Designated Teams Hybrid work model
รูปแบบสุดท้ายคือ Designed Teams Hybrid work model ซึ่งจะเป็นการพิจารณาจากหน้าที่ของพนักงานแต่ละคนว่าใครสามารถทำงานนอกออฟฟิศได้ หรือใครจำเป็นที่จะต้องเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศ เช่นพนักงานฝ่ายผลิต ฝ่ายไฟฟ้า ฝ่ายซ่อมบำรุงต่าง ๆ ทำให้พนักงานที่ไม่จำเป็นต้องทำงานที่ออฟฟิศสามารถออกแบบสภาพแวดล้อมการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ ทั้งยังช่วยประหยัดต้นทุนให้กับบริษัทได้อีก ถือว่าเป็นรูปแบบที่น่าสนใจมากจริง ๆ
นอกจากนี้ เราเชื่อว่ายังมีสิ่งที่เกี่ยวข้องอีก 2 อย่างที่น่าจะผ่านหูผ่านตาทุกคนมาไม่น้อย นั่นก็คือ Hybrid workplace และ Hybrid workforce และทั้ง 3 อย่างนี้อยู่ใน Network ของ Hybrid work model นั่นเอง
Hybrid workplace
Hybrid workplace จะอยู่ในคอนเซปต์ของ Working anywhere ซึ่งจะเป็นรูปแบบการทำงานที่ทำให้เราสามารถเลือกสถานที่การทำงานได้ ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ร้านกาแฟ Co-working space หรือออฟฟิศ โดยอาจจะมีการกำหนดให้เข้าออฟฟิศเป็นรายสัปดาห์ สลับกับอยู่บ้านแบบ At-Will and Remote-First Models และ Office-First Model
การใช้ Hybrid workplace ในองค์กรจะช่วยส่งเสริมให้พนักงานพัฒนาประสิทธิภาพของตัวเองได้จากความยืดหยุ่น เพราะพนักงานมีเวลาในการพักผ่อนและเลือกทำงานในช่วงเวลาที่ดีที่สุดได้ ทั้งยังเป็นการฝึกให้พนักงานสามารถทำงานทางไกลได้ด้วยเทคโนโลยีต่าง ๆ ด้วย
Hybrid workforce
เมื่อ Hybrid workplace เข้ามาช่วยเรื่องความยืดหยุ่นในการเลือกสถานที่และเวลาทำงาน ก็จะทำให้องค์กรสามารถสร้าง Hybrid workforce ได้ ซึ่ง Hybrid workforce จะเป็นเรื่องของการจัดการทรัพยากรบุคคลในที่ทำงาน คือจากที่เราเคยจ้างคนมา On-site 100% ตอนนี้เราสามารถลดจำนวนคนที่จะมา On-site ซึ่งจะทำให้ Workflow ในองค์กรเปลี่ยนไป ทั้งยังเพิ่มโอกาสให้เราได้ไปเจอคนเก่ง ๆ จากทั่วโลกอีกด้วย
ทีนี้เรามาดูเรื่องที่น่าสนใจกว่านั้นกันดีกว่า
เปิดสถิติ Hybrid working ในปี 2022
และนี่คือผลสำรวจเกี่ยวกับการทำงาน Hybrid working ในปี 2022 เริ่มที่ในประเทศไทยของเราก่อนเลย
ซิสโก้ (Cisco) เปิดสถิติจากการสำรวจการทำงาน Hybrid working ในปี 2022 พบว่า
- 85 % ของพนักงานไทยบอกว่า Hybrid Work ทำให้ชีวิตมีความสุขมากขึ้น
- 54 % บอกว่าเป็นเพราะตารางเวลายืดหยุ่นมากขึ้น
- 46 % บอกว่าเป็นเพราะไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทางไปทำงาน
- พนักงานไทยสัดส่วน 7 จาก 10 คน คิดว่าคุณภาพการทำงานดีขึ้น
- พนักงานไทยอีก 71% บอกว่ามีประสิทธิภาพการทำงานมากขึ้น
- 82% รู้สึกว่าทำงานนอกออฟฟิศตามหน้าที่ของตัวเองได้สำเร็จพอ ๆ กับทำงานในออฟฟิศ
Hybrid working ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับพนักงานโดยเฉลี่ยถึง 2.7 บาทต่อปีอีกด้วย
- 87% บอกว่าคุณภาพการเงินของตัวเองดีขึ้น โดยสามารถประหยัดได้เฉลี่ย 270,000 บาทต่อปี
- 84% เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนของค่าน้ำมันและการเดินทาง
- 64% เป็นค่าอาหารและความบันเทิง
- 81% คิดว่าสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายพวกนี้ได้ในระยะยาว
ในแง่ของสุขภาพและความสัมพันธ์ ซิสโก้ก็รายงานมาว่า
- 83% เชื่อว่าสุขภาพของตัวเองแข็งแรงขึ้นเพราะการทำงานที่บ้าน
- 78% บอกว่า Hybrid working ช่วยปรับนิสัยการกินให้ดีขึ้น
- 84% กล่าวว่าการ WFH ทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวดีขึ้น
- 64% บอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองและเพื่อมีความแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น
แต่น่าเสียดายที่ในขณะเดียวกันกลับมีการรายงานมาว่า
พนักงานไทยเพียง 37% เท่านั้น ที่คิดว่าบริษัทของตัวเอง ‘มีความพร้อมอย่างมาก’ สำหรับการ Hybrid working ในอนาคต
ดังนั้นองค์กรในไทยจึงควรที่จะสนใจและตระหนักถึงการปรับรูปแบบการทำงานให้มากขึ้น เพื่อสิ่งดี ๆ ที่จะย้อนเข้ามาสู่องค์กร แม้จะยังมีข้อจำกัดหลากหลาย แต่เราเชื่อว่าถ้าลองเอามาพิจารณาปรับใช้ก็น่าจะช่วยสร้างมิติใหม่ของการทำงานในองค์กรที่จะช่วยยกระดับ Workflow ได้ดีที่เดียว
ใครสนใจเรื่องสถิติ Hybrid working ในไทยจากซิสโก้เพิ่มเติม สามารถเข้าไปอ่านได้ ที่นี่
สำหรับสถิติระดับโลกนั้น Wakefield Research ก็ได้ศึกษาและรายงานมาในเดือนเมษายน ปี 2022 ว่า
- 47% ของพนักงานพร้อมที่จะลาออกหากองค์กรไม่ยินยอมให้ทำงานในรูปแบบที่ยืดหยุ่น (Flexible Working Model)
- 77% ของบริษัทได้เลือกใช้ Hybrid working Model แล้ว
- 56% ของบริษัทมีนโยบายให้พนักงานเลือกความถี่และวันเวลาที่จะเข้าออกออฟฟิศได้
และนี่คือสัดส่วนของรูปแบบการทำงานในปัจจุบันที่ Wakefield Research ได้รวบรวมมาให้แล้ว

ทำไมการทำงานในรูปแบบนี้ถึงเป็นที่สนใจ
สามารถทำงานในช่วงที่ Productive ที่สุดได้
คนเรามีช่วงเวลาตื่นตัวที่ต่างกัน บางคนจะ Active มาก ๆ ในตอนเช้า แต่บางคนมักจะหัวแล่นในตอนกลางคืน แต่วัฒนธรรมการทำงานที่เราเคยเจอกันมาก่อนหน้านี้มักจะบังคับให้เราเข้า-ออกงานตามเวลา ซึ่งมันอาจจะไม่ได้ Fit in กับทุกคนเสมอไป แต่การทำงานในรูปแบบนี้ช่วยทำให้เกิดรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น พนักงานจึงสามารถเลือกสภาพแวดล้อมการทำงานได้ ผลที่ตามมาคือได้ทำงานในจุดที่ Productive ที่สุด และสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดนั่นเอง
คุณภาพชีวิตของพนักงานดีขึ้น
พอการทำงานมีความยืดหยุ่นมากขึ้น คนทำงานก็สามารถออกแบบตารางเวลาของตัวเองได้ ทำให้ได้พักในเวลาที่อยากพัก ได้ทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่อยากทำ เช่นเล่นกีฬา ดูแลตัวเอง ใช้เวลากับคนสำคัญ ทำงานอดิเรกที่ชอบ พอเป็นแบบนี้ก็จะทำให้พนักงานมีความสุขมากขึ้น และสนุกกับการทำงานมากขึ้นนั่นเอง
จ้างคนเก่งได้จากทั่วโลก
เมื่อขอบเขตด้านสถานที่และเวลาหายไป แน่นอนว่าเราก็ไม่จำเป็นต้องกังวลถึงข้อจำกัดในการจ้างคนอีกแล้ว เพราะในเมื่อเราสามารถ Working from anywhere / anytime เราก็สามารถทำงานร่วมกับคนเก่งได้จากทุกมุมโลกโดยไม่จำเป็นต้องให้เดินทางมาทำงานที่ออฟฟิศเลยก็ได้ ยิ่งในยุคที่มีเทคโนโลยีเข้ามาซัพพอร์ตการทำงานต่าง ๆ แล้ว การทำงานรูปแบบนี้ถือได้ว่าเป็นโอกาสที่ดีในการจ้างงานคนเก่งเลยจริง ๆ
ลดความเสี่ยงในการสัมผัส
จริงอยู่ที่สถานการณ์การระบาดของโควิด -19 ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในปี 2022 แต่จากการที่เราผ่านความไม่แน่นอนพวกนี้มาหลายครั้งหลายครา หลาย ๆ คนก็ไม่กล้าที่จะออกมาใช้ชีวิตข้างนอกอย่างเต็มที่จริง ๆ แต่การทำงานในรูปแบบนี้จะช่วยลดความแออัดในออฟฟิศ ทำให้พนักงานที่เข้ามาทำงาน On-site สบายใจ และสามารถทำงานได้อย่างไร้กังวล ทั้งยังลดความเสี่ยงในการสัมผัสกับผู้ป่วยด้วย
สรุป
ในวันที่โรคร้ายอย่างโควิด – 19 กำลังจะผ่านไป เราทุกคนต่างก็ได้เรียนรู้ที่จะเตรียมตัวให้พร้อมในทุกสถานการณ์ Hybrid working Model จึงเข้ามาเพื่อผสาน “ความปกติ” ที่พวกเราโหยหา และ “การเปลี่ยนแปลง” ที่พวกเราพบเจอและเรียนรู้เข้าด้วยกัน ดังนั้น Hybrid working Model จึงเป็นอีกหนึ่ง Model แห่งอนาคตที่จะช่วยให้เราพร้อมรับสถานการณ์ในวันข้างหน้าเสมอ