HR ห้ามพลาด! รวบรวมรูปแบบการให้โบนัสครอบคลุมสำหรับสาย Tech พร้อมวิธีคำนวณเพื่อนำไปปรับใช้ในองค์กร
เดินทางมาถึงสิ้นปีแล้ว มีพนักงานหลายคนที่กำลังรอคอยโบนัสสิ้นปีนี้จากบริษัทหลากหลายบริษัทอยู่ โบนัสเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้พนักงานเลือกสมัครเข้ามาร่วมงานกับบริษัทต่าง ๆ เป็นสวัสดิการทั้งใช้ดึงดูดคนเก่ง ๆ เข้ามาร่วมงาน และเป็นปัจจัยที่ช่วยพนักงานตัดสินใจว่าจะทำต่อในบริษัทเดิมหรือไปต่อในบริษัทที่ให้โบนัสได้คุ้มค่ามากกว่าหรือไม่ ยิ่งกับงานด้านสาย Tech ที่ต้องการคนเก่ง ๆ มาทำงานในบริษัท โบนัสเลยเป็นสิ่งสำคัญมาก
การให้โบนัสของบริษัท มีความถี่ในการจ่ายโบนัสรูปแบบไหนบ้าง ?
โบนัสประจำปี
โบนัสประจำปีคือการส่งเสริม และสนับสนุนพนักงานที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพตลอดปีก่อน โบนัสประจำปีสามารถเป็นเงินสด, หุ้นบริษัท, การส่งเสริมการเรียนรู้ หรือสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่บริษัทตัดสินใจมอบให้แก่พนักงานได้ตามนโยบายของบริษัทนั้น ๆ ซึ่งการจ่ายโบนัสประจำปีให้ก็จะมีปีละ 1 ครั้ง มักจ่ายกันช่วงสิ้นปี ไม่ก็ตรุษจีน หรือวันสำคัญอื่น ๆ
โบนัสประจำไตรมาส
โบนัสที่มอบให้กับพนักงานตามผลการทำงานในระยะเวลาของไตรมาส ซึ่งไตรมาสมักเป็นช่วงเวลาที่แบ่งปีออกเป็น 4 ส่วนเท่าๆ กัน โดยปกติแล้วไตรมาสจะเป็นช่วงเวลาของ 3 เดือน ซึ่งบางบริษัทหรือองค์กรจะตั้งชื่อไตรมาสตามเดือน เช่น ไตรมาส 1 จะเป็นเดือนมกราคมถึงมีนาคม ซึ่งมีส่วนน้อยที่ใช้ระบบนี้เพื่อแบ่งเบาภาระการจ่ายโบนัสเป็นเงินก้อนในคราวเดียว
โบนัสประจำปีแบบแบ่งงวด
เหมือนโบนัสประจำปีปกติ แต่จะมีการแบ่งจ่ายเป็น 2 งวด คือกลางปี และปลายปี การมอบโบนัสในรูปแบบของเงินหรือสิ่งของอื่นๆ ให้กับพนักงานในช่วงเวลาที่แตกต่างกันในปี การให้โบนัสแบบนี้เพื่อส่งเสริมและรักษาการทำงานที่มีประสิทธิภาพของพนักงานอย่างต่อเนื่องตลอดปี
โบนัสแบบ 2 ครั้ง ต่อปี
ถึงการมอบโบนัสให้กับพนักงานสองครั้งในแต่ละปี โบนัสแบบนี้มักจะมีลักษณะที่แตกต่างกันไปโดยอ้างอิงจากนโยบายของบริษัทหรือองค์กร แต่ละครั้งก็มีเกณฑ์ในการประเมินที่แตกต่างกันเช่น โบนัสปลายปีทุกคนอาจจะได้รับเท่าเทียมกัน แต่โบนัสกลางปีมักเป็นการประเมินตามศักยภาพการทำงานของแต่ละบุคคล ซึ่งแต่ละคนอาจได้ไม่เท่า
โบนัสตามโปรเจกต์ หรือผลงานพิเศษ
บริษัทเทคโนโลยีบางแห่งอาจจ่ายโบนัสเมื่อมีโปรเจกต์หรือผลงานพิเศษที่สำเร็จลุล่วง ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นไตรมาสละครั้งหรือประจำปี เช่นเราทำโปรเจกต์งานได้สำเร็จ และผลออกมาได้ดี เราก็อาจจะได้รับโบนัสเพิ่มจากโปรเจกต์นั้น ๆ
โบนัสตามเหตุการณ์พิเศษ
ในบางกรณี โบนัสอาจถูกมอบในเหตุการณ์พิเศษ เช่น การเข้าสู่ตลาดหุ้น (IPO) หรือการเข้าซื้อกิจการ โบนัสที่มอบให้ตามเหตุการณ์พิเศษมักเป็นการแสดงความยินดีและส่งเสริมให้พนักงานรู้สึกว่าการมีส่วนร่วมในสถานการณ์ที่เป็นพิเศษนั้นมีความสำคัญ และได้รับการยอมรับจากองค์กรหรือบริษัท
รูปแบบการจ่ายโบนัส พร้อมวิธีคำนวณ
โบนัสการันตี
ไม่มีสูตรคำนวณเฉพาะเจาะจง เนื่องจากโบนัสการันตีมักจะเป็นจำนวนเงินที่กำหนดไว้ล่วงหน้าหรือเปอร์เซ็นต์ของเงินเดือน เป็นโบนัสที่มีการระบุจำนวนเงินมาแล้วตั้งแต่แรก และรับรองว่าจะมอบให้กับพนักงานในระยะเวลาที่กำหนดไว้ แม้ว่าบริษัทจะมีผลประกอบการที่ดีมากหรือแย่มากก็ตาม ข้อดีคือ พนักงานจะวางใจเชื่อใจว่าจะได้รับโบนัสแน่ ๆ ตั้งแต่แรก
ตัวอย่าง
นาย B ทำงานในตำแหน่งData Analyst ที่บริษัทด้าน Tech ในประเทศไทย บริษัทมีนโยบายให้โบนัสการันตีทุกปีให้กับพนักงานทุกระดับ โดยโบนัสนี้ไม่ขึ้นอยู่กับผลประเมินผลงาน
การกำหนดโบนัสการันตี
โบนัสการันตีของนาย B ถูกกำหนดไว้ที่ 50,000 บาทต่อปี
การคำนวณโบนัส
บริษัทกำหนดว่าโบนัสการันตีจะถูกจ่ายเป็นสองงวดต่อปี คืองวดกลางปีและงวดปลายปี
โบนัสการันตีที่นาย B จะได้รับต่องวดจึงเป็นจำนวนเงิน ( 50,000 ÷ 2 ) = 25,000 บาท
นั้นหมายความว่า นาย B จะได้รับโบนัสการันตีจำนวน 25,000 บาทในงวดกลางปี และอีก 25,000 บาทในงวดปลายปี
ดังนั้น ในแต่ละปี นาย B จะได้รับโบนัสการันตีรวมทั้งสิ้น 50,000 บาทจากบริษัท โดยไม่ขึ้นอยู่กับผลประเมินผลงานของเขา
โบนัสที่ให้ตามผลประกอบการบริษัท
ตัวอย่าง
นาง C ทำงานเป็นผู้จัดการการตลาด Software House ในประเทศไทย บริษัทมีนโยบายการจ่ายโบนัสตามผลประกอบการของบริษัททุกปี โดยโบนัสนี้จะขึ้นอยู่กับการบรรลุเป้าหมายรายได้ และกำไรของบริษัท
การกำหนดเป้าหมายผลประกอบการ
บริษัทกำหนดเป้าหมายรายได้ประจำปีที่ 100 ล้านบาท และเป้าหมายกำไรที่ 20 ล้านบาท
การคำนวณโบนัส
บริษัทกำหนดว่าหากบรรลุเป้าหมายรายได้ และกำไร โบนัสที่จะจ่ายเท่ากับ 5% ของเงินเดือนประจำปีของนาง C
เงินเดือนประจำปีของนาง C คือ 1.2 ล้านบาท
สมมติว่าบริษัทบรรลุเป้าหมาย
โบนัสตามผลประกอบการ : 5% × 1,200,000 = 60,000 บาท
หากบริษัทบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่กำหนดไว้ นาง C ก็จะได้รับโบนัสตามผลประกอบการของบริษัทจำนวน 60,000 บาทในปีนั้น
โบนัสตามศักยภาพพนักงาน
ตัวอย่าง
นาย A ทำงานในตำแหน่ง Software Engineer บริษัทกำหนดว่าโบนัสจะขึ้นอยู่กับการประเมินศักยภาพซึ่งประกอบด้วย :
- ทักษะทางเทคนิค (40%)
- ทักษะการสื่อสาร (20%)
- การทำงานเป็นทีม (20%)
- ความสามารถในการแก้ปัญหา (20%)
การประเมิน
- ทักษะทางเทคนิค : นาย A ได้คะแนน 4.5 จาก 5
- ทักษะการสื่อสาร : ได้คะแนน 3.5 จาก 5
- การทำงานเป็นทีม : ได้คะแนน 4 จาก 5
- ความสามารถในการแก้ปัญหา : ได้คะแนน 4 จาก 5
การคำนวณโบนัส
สมมติว่าโบนัสสูงสุด (โบนัสสูงสุดในบริษัทมักจะถูกกำหนดขึ้นจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นผลประกอบการ อายุงาน หรืออื่น ๆ) ที่นาย A สามารถได้รับคือ 100,000 บาท
- ทักษะทางเทคนิค : ( 4.5/5 * 40% * 100,000\ ) = 36,000 บาท
- ทักษะการสื่อสาร : ( 3.5/5 * 20% * 100,000\ ) = 14,000 บาท
- การทำงานเป็นทีม : ( 4/5 * 20%* 100,000\ ) = 16,000 บาท
- ความสามารถในการแก้ปัญหา : ( 4/5 * 20% * 100,000\ ) = 16,000 บาท
- รวมโบนัสที่นาย A จะได้รับคือ: 36,000 + 14,000 + 16,000 + 16,000 = 82,000 บาท
ดังนั้น จากการประเมินศักยภาพตามหัวข้อที่กำหนด นาย A จะได้รับโบนัสประจำปีจำนวน 82,000 บาทจากบริษัท
โบนัสให้ตามอายุงาน
โบนัสที่มอบให้ตามอายุงานส่วนใหญ่เป็นกลไกการส่งเสริมและรักษาพนักงานที่ทำงานในบริษัทหรือองค์กรเป็นระยะเวลานาน
ตัวอย่าง
นาย D ทำงานในตำแหน่ง System Engineer ที่บริษัทไอทีในประเทศไทย บริษัทนี้มีนโยบายให้โบนัสตามอายุงานของพนักงานเพื่อรางวัลความภักดี และการทุ่มเทในงาน
การกำหนดโบนัสตามอายุงาน
บริษัทกำหนดให้โบนัสตามอายุงานคิดเป็น 10,000 บาทต่อปีของการทำงาน นาย D ทำงานที่บริษัทมาแล้ว 5 ปี
การคำนวณโบนัส
โบนัสตามอายุงาน: 5 ปี × 10,000 บาท/ปี = 50,000 บาท
ดังนั้น ในปีนี้ นาย D จะได้รับโบนัสตามอายุงานจำนวน 50,000 บาท โดยโบนัสนี้เป็นการแสดงความขอบคุณจากบริษัทสำหรับปีที่เขาทุ่มเทให้กับงานและบริษัท
หุ้นบริษัท (ESOP)
ตัวอย่าง
นาง E เป็นผู้อำนวยการฝ่ายขายของบริษัท Startup ในประเทศไทย บริษัทมีนโยบายให้ตัวเลือกหุ้น (ESOP) กับพนักงานในตำแหน่งสำคัญเพื่อสร้างแรงจูงใจและให้พนักงานมีส่วนร่วมในความสำเร็จของบริษัทระยะยาว
การกำหนดตัวเลือกหุ้น ESOP
บริษัทมอบตัวเลือกหุ้นจำนวน 1,000 หุ้นให้กับนาง E ราคาตั้งต้น (strike price) ของหุ้นคือ 50 บาทต่อหุ้น สมมติว่าหลังจากหนึ่งปี ราคาตลาดของหุ้นบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 100 บาทต่อหุ้น
การคำนวณโบนัสจาก ESOP
นาง E สามารถใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นที่ราคา 50 บาทต่อหุ้น แต่เนื่องจากราคาตลาดปัจจุบันคือ 100 บาทต่อหุ้น นาง E จึงได้รับกำไรจากการใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นทันที
การคำนวณกำไรจาก ESOP
กำไรต่อหุ้น: 100 บาท − 50 บาท = 50 บาท
กำไรรวม: 50 บาท/หุ้น × 1,000 หุ้น = 50,000 บาท
ดังนั้น, หากนาง E ใช้สิทธิ์ซื้อหุ้น ESOP ที่มีอยู่, เธอจะได้รับกำไรรวม 50,000 บาทจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าหุ้น. เป็นการแสดงว่านาง E ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่าจากการมีส่วนร่วมในการเติบโตและความสำเร็จของบริษัท
สินทรัพย์ทางเลือก
ตัวอย่าง
นาย F ทำงานเป็น Software Engineer ในบริษัท Tech Startup บริษัทมีนโยบายให้โบนัสแบบสินทรัพย์ทางเลือกแก่พนักงานเพื่อเป็นการรางวัล และสร้างแรงจูงใจ
การกำหนดโบนัสแบบสินทรัพย์ทางเลือก
บริษัทเสนอโบนัสในรูปแบบของสินทรัพย์ทางเลือก เช่น ตั๋วเครื่องบินชั้นธุรกิจไปกลับสำหรับท่องเที่ยวในต่างประเทศ, คูปองที่พักหรู, หรือสมาชิกฟิตเนสระดับพรีเมียม
การคำนวณมูลค่าโบนัส
สมมติว่านาย F เลือกตั๋วเครื่องบินชั้นธุรกิจไปกลับสำหรับท่องเที่ยวในญี่ปุ่น
มูลค่าของตั๋วเครื่องบินไปกลับ: ประมาณ 100,000 บาท
นอกจากนี้ บริษัทยังให้คูปองที่พักหรูมูลค่า 50,000 บาท
มูลค่าโบนัสรวม
โบนัสท่องเที่ยว : 100,000 บาท (ตั๋วเครื่องบิน) + 50,000 บาท (คูปองที่พัก) = 150,000 บาท
นาย F จะได้รับโบนัสแบบสินทรัพย์ทางเลือกที่มีมูลค่ารวม 150,000 บาท เป็นการรางวัลจากบริษัทสำหรับการทำงานที่เต็มไปด้วยความทุ่มเท และมีส่วนร่วมต่อความสำเร็จของบริษัท
โบนัสตามผลงาน และโปรเจกต์
ตัวอย่าง
นาง G ทำงานเป็น Project Manager ในบริษัทเทคโนโลยี บริษัทมีนโยบายให้โบนัสตามผลงานและความสำเร็จของโปรเจกต์ที่พนักงานรับผิดชอบ
การกำหนดโบนัสตามผลงานและโปรเจกต์
- บริษัทกำหนดให้โบนัสจะขึ้นอยู่กับการบรรลุเป้าหมายและคุณภาพของโปรเจกต์
- โปรเจกต์ที่นาง G รับผิดชอบมีเป้าหมายที่ชัดเจนและมีกำหนดเวลาส่งมอบ
การคำนวณโบนัส
- สมมติว่าโปรเจกต์ของนาง G มีการประเมินความสำเร็จตามเป้าหมายที่ 90% และคุณภาพของงานอยู่ที่ 95%
- โบนัสสูงสุดที่กำหนดไว้สำหรับโปรเจกต์นี้คือ 80,000 บาท
การคำนวณโบนัส
- โบนัสตามความสำเร็จของโปรเจกต์ : ( 90% × 80,000 บาท\ ) = 72,000 บาท
- โบนัสตามคุณภาพของงาน : ( 95% × 80,000 บาท\ ) = 76,000 บาท
- โบนัสที่นาง G จะได้รับจะเป็นค่าเฉลี่ยของทั้งสองค่า : ( 72,000 + 76,000 ) ÷ 2 = 74,000 บาท
จากการที่โปรเจกต์ของนาง G บรรลุเป้าหมายและมีคุณภาพของงานที่สูง เธอจะได้รับโบนัสจากโปรเจกต์นี้จำนวน 74,000 บาท
ตัวเลือกหุ้นและส่วนแบ่งในบริษัท
โบนัสในรูปแบบของตัวเลือกหุ้น (stock options) หรือส่วนแบ่งในบริษัทเป็นที่นิยมในบริษัทสตาร์ทอัพและบริษัทเทคโนโลยีที่กำลังเติบโต
ตัวอย่าง
นาย H เป็นนักพัฒนาซอฟต์แวร์อาวุโสในบริษัทเทคโนโลยีสตาร์ทอัพ บริษัทมีนโยบายมอบตัวเลือกหุ้นและส่วนแบ่งในบริษัทให้กับพนักงานที่มีผลงานโดดเด่นเพื่อสร้างแรงจูงใจและให้พนักงานมีส่วนร่วมในการเติบโตของบริษัท
การกำหนดตัวเลือกหุ้นและส่วนแบ่งในบริษัท
- นาย H ได้รับตัวเลือกหุ้นจำนวน 2,000 หุ้น โดยมีราคาตั้งต้น (strike price) ที่ 20 บาทต่อหุ้น
- นอกจากนี้ นาย H ยังได้รับส่วนแบ่งในบริษัทเป็นเปอร์เซ็นต์ของหุ้นที่จะได้หลังจากบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์
การคำนวณโบนัสจากตัวเลือกหุ้นและส่วนแบ่งในบริษัท
สมมติว่าหลังจากสามปี ราคาตลาดของหุ้นบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 50 บาทต่อหุ้น
ตัวเลือกหุ้น (Stock Options)
กำไรต่อหุ้น: 50 บาท − 20 บาท = 30 บาท
กำไรรวม: 30 บาท/หุ้น × 2,000 หุ้น = 60,000 บาท
ส่วนแบ่งในบริษัท
- ถ้าสมมติว่านาย H ได้รับส่วนแบ่ง 0.5% ของบริษัท และมูลค่าตลาดของบริษัทหลังเข้าตลาดหลักทรัพย์คือ 200 ล้านบาท
- มูลค่าส่วนแบ่ง: 0.5 = 1,000,000 บาท
นาย H จะได้รับกำไรรวม 60,000 บาทจากตัวเลือกหุ้น และมูลค่าส่วนแบ่งในบริษัทเป็นเงิน 1,000,000 บาท เป็นรางวัลจากการมีส่วนร่วมในการเติบโตและความสำเร็จของบริษัท
การกำหนดโบนัสเชิงนวัตกรรม
โบนัสเชิงนวัตกรรมจะถูกมอบให้กับพนักงานหรือทีมที่พัฒนาผลิตภัณฑ์, กระบวนการ, หรือเทคโนโลยีใหม่ที่ส่งผลต่อการเติบโตหรือประสิทธิภาพของบริษัท
ตัวอย่าง
สมมติว่า I และทีมของ I พัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของบริษัทได้อย่างมาก
การคำนวณโบนัส
- โบนัสเชิงนวัตกรรมถูกกำหนดไว้ที่ 200,000 บาทสำหรับทีมที่สามารถสร้างนวัตกรรมที่มีผลกระทบอย่างมาก
- โบนัสนี้จะถูกแบ่งอย่างเท่าเทียมให้กับทุกคนในทีม
การคำนวณโบนัส
- สมมติว่าทีมของ I มีสมาชิกทั้งหมด 5 คน
- โบนัสต่อคน: 200,000 บาท ÷ 5 คน = 40,000 บาทต่อคน
ดังนั้น I และสมาชิกในทีมของ I จะได้รับโบนัสเชิงนวัตกรรมจำนวน 40,000 บาทต่อคน เป็นการรางวัลและการยอมรับผลงานนวัตกรรมที่พวกเขาสร้างขึ้น
โบนัสแบบเลือกได้ (flexible bonus)
พนักงานสามารถเลือกรูปแบบโบนัสที่ต้องการก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่บริษัทเทคโนโลยีนำมาใช้
ตัวอย่าง
นาย J เป็นผู้อำนวยการฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคลในบริษัทไอทีขนาดใหญ่ บริษัทมีนโยบายมอบโบนัสแบบเลือกได้เพื่อให้พนักงานสามารถเลือกรูปแบบโบนัสที่ต้องการตามความต้องการส่วนบุคคล และสถานการณ์ของตนเอง
การกำหนดโบนัสแบบเลือกได้
- บริษัทกำหนดให้พนักงานสามารถเลือกโบนัสในรูปแบบต่างๆ เช่น เงินสด, วันหยุดพิเศษ, หุ้นของบริษัท, คูปองที่พัก, หรือตั๋วเครื่องบิน
- มูลค่าโบนัสที่พนักงานสามารถเลือกรับได้ถูกกำหนดไว้ที่ 100,000 บาท
การเลือกและการคำนวณโบนัส
นาย J เลือกที่จะแบ่งโบนัสของเขาเป็นสองส่วน:
ส่วนที่ 1: เงินสด
- นาย J เลือกที่จะรับ 50% ของโบนัสเป็นเงินสด
- โบนัสเงินสด: 50% × 100,000 บาท = 50,000 บาท
ส่วนที่ 2: วันหยุดพิเศษ
- นาย J เลือกที่จะใช้ 50% ของโบนัสเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นวันหยุดพิเศษ
- สมมติว่ามูลค่าของหนึ่งวันหยุดคือ 10,000 บาท
- วันหยุดพิเศษ : 50,000 บาท ÷10,000 บาท/วัน = 5 วัน
ดังนั้น, นาย J จะได้รับโบนัสเงินสดจำนวน 50,000 บาทและวันหยุดพิเศษเพิ่มเติม 5 วัน เป็นการใช้ประโยชน์จากโบนัสแบบเลือกได้ที่ตอบสนองต่อความต้องการส่วนบุคคลของเขา.
โบนัสแบบทีม
โบนัสที่เน้นการทำงานร่วมกันเป็นทีมเพื่อส่งเสริมความสำเร็จของโปรเจกต์หรือเป้าหมายร่วมกัน
ตัวอย่าง
นาย K เป็นหัวหน้าทีมการตลาดในบริษัทซอฟต์แวร์ บริษัทมีนโยบายให้โบนัสแบบทีมเพื่อรางวัลแก่ทีมที่บรรลุเป้าหมายโครงการหรือทำงานโครงการอย่างเป็นเยี่ยม
การกำหนดโบนัสแบบทีม
- โบนัสแบบทีมจะถูกกำหนดให้กับทีมที่บรรลุหรือเกินเป้าหมายการตลาดที่กำหนดไว้
- มูลค่าโบนัสรวมที่ทีมสามารถได้รับคือ 300,000 บาท
การคำนวณโบนัส
สมมติว่าทีมของนาย K บรรลุเป้าหมายโครงการอย่างเต็มที่
การแบ่งโบนัส
- ทีมของนาย K มีสมาชิกทั้งหมด 6 คน
- จะได้โบนัสต่อคน : ( 300,000 บาท ÷ 6 คน ) = 50,000 บาทต่อคน
เท่ากับว่านาย K และสมาชิกในทีมจะได้รับโบนัสจากการบรรลุเป้าหมายของโครงการจำนวน 50,000 บาทต่อคน โบนัสนี้เป็นการยอมรับความสำเร็จของทีมและการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อดีของการจ่ายเงินโบนัสให้พนักงาน
- ช่วยส่งเสริมการทำงานของพนักงาน : โบนัสเป็นอีกวิธีที่เราใช้ช่วยจูงใจให้พนักงานในบริษัททำงานอย่างมีประสิทธิภาพขึ้น เพราะพนักงานจะมีจุดมุ่งหมายที่กำหนัดไว้ในใจของตัวเองเพื่อที่จะได้รับมาซึ่งโบนัส
- ช่วยให้บรรลุเป้าหมายของบริษัท : หากเราจ่ายโบนัสตามผลงาน จะช่วยให้พนักงานมุ่งมั่นในการทำงานเพิ่มขึ้น และเป้าหมายของบริษัทที่เราตั้งไว้นั้นจะสำเร็จได้อย่างดี
- ช่วยปรับพฤติกรรมพนักงาน : การที่บริษัทจ่ายโบนัสอย่างชัดเจน จะสร้างแรงจูงใจให้พนักงานทำงานไปในทิศทางที่ดีขึ้น ก็จะส่งผลดีต่อบริษัทเอง
- สร้างความรู้สึกดีแก่พนักงาน : การได้รับโบนัสจะก่อให้เกิดความรู้สึกดีในการทำงานต่อภายในบริษัท ทำให้พนักงานเรารู้สึกถึงความคุ้มค่าในการทำงานที่ผ่านมา
- ช่วยรักษาพนักงานเก่าที่ทำงานดีไว้ : การจ่ายโบนัสที่เหมาะสม และมีการจ่ายโบนัสที่ชัดเจนว่าเราจะจ่ายแน่ๆ ทำให้พนักงานยังคงอยากทำงานกับเราต่อไป
การที่เราจ่ายโบนัสให้แก่พนักงานอย่างเหมาะสม และชัดเจนจะช่วยให้พนักงานมีการทำงานที่มีประสิทธิภาพขึ้น แถมยังสร้างความมุ่งมั่นในการทำงานให้แก่ทุกคนในบริษัท
การคิดโบนัสให้มีประสิทธิภาพสูงสุด สำหรับ HR
- การวิเคราะห์ข้อมูลและติดตามผล :
Hr ควรใช้ข้อมูลการทำงานของพนักงานมาเพื่อติดตามผล และเปรียบเทียบกับผลประกอบการของบริษัท เพื่อจะช่วยในการจัดสรรโบนัสให้มีความโปร่งใสในการจัดแจงโบนัส เช่น ในแต่ละเดือนควรมีการประเมินผลการทำงาน กาาตรวจดูโครงการที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบว่าสำเร็จหรือไม่
- การสื่อสารที่ชัดเจนกับพนักงาน :
บริษัทควรมีการอธิบายถึงนโยบายโบนัสของบริษัทให้พนักงานเข้าใจ รวมถึงบอกเป้าหมายของบริษัทที่มีโบนัสสนับสนุนแก่พนักงาน เพื่อให้พนักงานทราบถึงโบนัสที่หลากหลายที่เขาจะได้รับจากบริษัท และควรใช้ช่องทางที่หลากหลายเพื่อสื่อสาร เช่น การประชุม, อีเมล, และเว็บไซต์ภายในบริษัท เพื่อให้ข้อมูลถึงพนักงานทุกคน
- การกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและเป็นไปได้ :
กำหนดเป้าหมายของบริษัทให้ชัดเจน และก็ควรสอดคล้องไปกับเป้าหมายของโบนัสด้วย ควรเป็นเป้าหมายที่พนักงานทำได้จริงเป้าหมายที่เป็นไปได้แก่บริษัท คำนึงถึงข้อจำกัดที่เรามีอยู่ เช่น เวลาที่มี จำนวนคน หรือ ทรัพยากรของบริษัท
- การปรับปรุงระบบการประเมินผลงาน :
มีการประเมินผลงานการทำงานของพนักงานที่ยุติธรรม เพื่อให้การคิดโบนัสควบคู่ไปกับผลงานของพนักงาน มีการปรับปรุงและเปลี่ยนรูปแบบการประเมินให้เข้ากับตำแหน่งงานของพนักงานที่หลากหลาย จะช่วยให้พนักงานทำงานออกมาอย่างประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- มีนโยบายที่ยืดหยุ่นและการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง :
ปรับปรุงนโยบายบริษัทให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในตลาดอุตสาหกรรมตลอด และควรสอดคล้องกับความต้องการของพนักงานบริษัท จะช่วยให้องค์กรรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้ และทำให้พนักงานทุกคนมีส่วนร่วมในการรับมือความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ
สรุป
โบนัสเป็นสิ่งสำคัญเป็นอย่างมากในสวัสดิการที่พนักงานจะเลือกมองหาเป็นอย่างแรกในการสมัครงานกับองค์กรต่างๆ Hr ควรเลือกให้โบนัสให้เหมาะสมกับบริบทขององค์กร เนื่องจากโบนัสนั้นช่วยในการดึงดูดคนเก่งๆเข้ามาทำงานภายในองค์กรได้ และยังคงรักษาพนักงานเก่าให้ยังคงทำงานกับเราต่อไป และ Hr ควรประเมินการให้โบนัสอย่างเหมาะสมและยุติธรรม เพื่อให้โบนัสนั้นเหมาะสมกับศักยภาพของพนักงานที่ทำงานแต่ละตำแหน่ง และเพื่อความพึงพอใจของทุก ๆ ฝ่าย เพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีในบริษัท