Resume 2024 “เขียนยังไง”ให้ถูกเรียกสัมภาษณ์ (แจกตัวอย่างเรซูเม่ สาย Tech)

Jo

18 Jan 2024 | 1 นาทีอ่าน

เริ่มต้นปีใหม่แบบนี้สิ่งที่ต้องทำคงมีเยอะแยะเต็มไปหมดเลยใช่ไหม แต่ไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหนสิ่งที่ห้ามลืมทำเด็ดขาดก็คือการอัพเดต Resume นั่นเอง แต่ 2024 แล้ว Resume รูปแบบเดิม ๆ คงไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตลาดงานสาย Tech ที่มีการแข่งขันที่ดุเดือดอยู่ตลอดเวลา แต่จะมีวิธีไหนที่จะทำให้ Resume ของคุณโดดเด่นออกมาจากผู้สมัครคนอื่น ๆ  มาหาคำตอบไปกับเรา ถ้าพร้อมแล้วก็ไปดูกันเลย

รู้หรือเปล่าว่า HR ใช้เวลานานแค่ไหนในการพิจารณา Resume เว็บไซต์  Ladders ที่ทำการศึกษา Eye-Tracking Study ประจำปี 2018 โดยให้ HR มอง Resume ของผู้สมัครงานทั้งหมด เพื่อหาสิ่งที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลต้องการ ผลลัพธ์ก็คือ HR จะใช้เทคนิค skim หรือการกวาดสายตาอ่านไม่ละเอียด เพื่อมองหาสิ่งที่ตัวเองต้องการ เช่น การจัดหน้า ตำแหน่งที่สมัคร ความสามารถ ประวัติโดยย่อ จำนวนข้อความ รวมไปถึงคียเวิร์ดต่าง ๆ  ซึ่งจากค่าเฉลี่ยที่ได้พบว่า HR ส่วนใหญ่จะใช้เวลาอ่านเพียง 7.4 วินาทีต่อ Resume 

ซึ่งเป็นเวลาที่น้อยมากเมื่อเทียบกับข้อมูลที่เราใส่ไป การที่ใช้เวลาในการตรวจสอบน้อยนั้นหมายความว่า HR จะมองหาแค่ Keyword ที่ตัวเองต้องการเท่านั้น ถ้าใน Resume ไม่มีสิ่งที่ต้องการจะถูกปัดตกทันที หากอยากเป็นผู้ถูกและผ่านเข้ากระบวนการถัดไป จะต้องเขียน Resume ให้ดี มีข้อมูลครบถ้วน

ทำความรู้จัก Star Framework

หลายคนที่คงรู้จัก Star Framework อยู่แล้ว และคงสงสัยว่ามันเกี่ยวอะไรกับการเขียน Resume ต้องบอกก่อนว่าในการเขียนอธิบายประสบการณ์ที่มีหรือสิ่งที่กระทำลงไปใน Resume อย่างละเอียดนั้นเป็นเรื่องยาก เพราะ Resume ที่ดีควรกระชับและมีเนื่อหาที่เข้าใจง่าย ส่วนนี้แหละที่ Star Framework จะเข้ามาช่วยทำให้รายละเอียดประสบการณ์การทำงานสั้นและตรงประเด็นมากขึ้น

Star Framework นั้นประกอบไปด้วย

S-Situation : บอกเล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เมื่อนำมาปรับใช้กับการเขียน Resume จะหมายถึงตำแหน่งหรือ Position

T-Task : สิ่งที่ต้องจัดการแก้ไข

A-Action : สิ่งที่เราทำเพื่อแก้ไขปัญหา

R-Results : ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น

แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องมีครบทั้ง Situation Task Action และ Results ครบในหนึ่งเหตุการณ์ สามารถแยกกันได้ ขอแค่ในหนึ่งบริษัทมีให้ครบก็เพียงพอแล้ว แต่เมื่อเป็นการใช้ Star Framework เพื่อเขียน Resume ให้สาย Tech ใช้สิ่งที่ต้องเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างคือ Tech Stack

Tech Stack คือ  Frameworks, Libraries,Tool ต่าง ๆ ที่ใช้เพื่อให้ผลลัพธ์ประสบความสำเร็จตามที่ต้องการ

ตัวอย่างการใช้ Star Framework สำหรับ Resume

Template Resume สำหรับสาย Tech ที่ HR อ่านแล้วต้องกด Approved

ก่อนอื่นเรามาเริ่มจากการดูตัวอย่าง Resume สำหรับสาย Tech กันก่อน อย่างที่รู้กันว่าปัจจุบันมี Tool ที่สามารถใช้สร้าง Resume ขึ้นมาได้อยู่มากมายทั้งแบบฟรีและมีค่าใช้จ่าย Template Resume ที่ให้ฟรีมักจะมีรูปแบบซ้ำกัน บางครั้งถึงขนาดว่าเปลี่ยนแค่สี แต่รู้หรือไม่ว่าจริง ๆ แล้ว การเขียน Resume ให้น่าอ่านไม่จำเป็นต้องมีการตกแต่งใด ๆ ขอแค่เป็นระเบียบและอ่านง่ายก็เพียงพอแล้ว เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาไปตัวอย่าง Resume กันเลยเถอะ

องค์ประกอบของ Resume ที่ดีควรมีอะไรบ้าง 

1.Name

สิ่งที่ขาดไม่ได้เป็นอย่างแรกคือ ชื่อ-นามสกุล ซึ่งเป็นสิ่งที่มีไว้ระบุตัวตนว่าใครเป็นเจ้าของ Resume ฉบับนี้ ต่อมาคือข้อมูลติดต่อส่วนตัว สำหรับบางคนอาจจะใส่ตั้งแต่วัน เดือน ปีเกิด อายุ ไปจนถึงทะเบียนบ้าน ซึ่งความเป็นจริงไม่จำเป็นต้องใส่รายละเอียดขนาดนั้น ที่ควรมีคือ เบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้ อีเมล และจังหวัดที่อยู่อาศัย เพราะหลายบริษัทมักต้องต้องการคนที่อยู่ในบริเวณเดียวกันเพื่อความสะดวกในการทำงาน สิ่งที่เพิ่มมาอีกอย่างคือตำแหน่งหน้าที่ในปัจจุบันเพราะถ้าคุณกำลังทำงานที่อยู่ในสายงานเดียวกับที่กำลังสมัคร ยิ่งจะดึงดูดความสนใจของ HR ได้มากขึ้น

2.Professional Summary

เปรียบเสมือนการแนะนำตัวบอกเล่าเกี่ยวกับตัวคุณแบบสั้น ๆ ต้องพูดถึงประสบการณ์ทำงานที่ผ่านมาของคุณ เคยทำงานในอุตสาหกรรมไหนบ้าง Skill ที่เชี่ยวชาญ หรือเรื่องอื่นที่สำคัญ ๆ เพราะถึงยังไงก็เป็นการอธิบายแบบภาพรวมเพื่อให้ HR อยากเข้าไปอ่านรายละเอียดอื่น ๆ ใน Resume 

3. Employment

ถ้าจะให้พูดก็คงเป็นประสบการณ์การทำงานแบบละเอียด เริ่มตั้งแต่บริษัทแรกที่ทำจนมาถึงปัจจุบัน ข้อมูลหลัก ๆ ที่ต้องใส่ประกอบไปด้วย ชื่อตำแหน่ง ชื่อบริษัท สถานที่ตั้งของบริษัท วันที่เริ่มงานจนถึงวันที่ออกจากงาน ส่วนนี้จะทำให้ HR รู้เกี่ยวกับตำแหน่งและบริษัทที่เราเคยได้เป็นส่วนหนึ่งมาก่อน ยิ่งถ้าคุณเคยได้ร่วมงานกับบริษัทใหญ่ ๆ จะยิ่งทำให้ Resume ของคุณน่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก

ต่อมาคืออธิบายประสบการณ์ที่ได้รับจากการทำงาน ตามที่ได้กล่าวไปข้างต้นเกี่ยวกับการใช้ Star Framework เข้ามาช่วยให้การเขียนของคุณดูกระชับและเข้าใจง่ายมากยิ่งขึ้น นอกจากการเขียนให้เข้าใจง่ายแล้ว การจัดวางเองก็ถือเป็นสิ่งสำคัญ หากให้เลือกระหว่างการเขียนบรรยาย 4-5 บรรทัด การเขียนเป็น Bullet จะทำให้ Resume น่าอ่านขึ้นเยอะเลยล่ะ

อีกจุดเล็ก ๆ ที่ขาดไม่ได้คือการสรุป Tech Stack ทั้งหมดที่คุณได้ใช้ในการทำงานที่บริษัทแห่งนี้ เพื่อเป็นการยืนยืน Skill ที่เราสามารถใช้ได้อีกครั้งหนึ่ง

เกือบลืมแหนะ สำคัญ สำคัญ สำคัญ ขาดไม่ได้ต้องย้ำ 3 ครั้ง ถ้าคุณเป็นคนย้ายงานบ่อยและอยู่ไม่นาน 2-3 เดือนย้ายครั้ง แบบนี้บอกเลยว่าระวังมันจะกลายเป็น Redflag โดยไม่รู้ตัว เพราะไม่ว่าบริษัทไหนก็ต้องการคนที่จะอยู่ร่วมงานและเติบโตกับบริษัทไปนาน ๆ ทั้งนั้นแหละ ทางแก้ที่ง่ายที่สุดคือไม่ใส่ข้อมูลส่วนนี้ไป และเลือกที่คิดว่ามันดีเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

4.Personal Projects

สิ่งที่ต้องใส่ก็ตรงตามความหมายทุกอย่าง ถ้าคุณยังไม่เคยมีโปรเจกต์ส่วนตัวจะข้ามหัวข้อนี้ไปก็ไม่ว่ากัน แต่พออ่านจบแล้วคุณต้องอยากลุกไปทำโปรเจกต์ส่วนตัวขึ้นมาซักอย่างแน่ ๆ เพราะการมีโปรเจกต์ส่วนตัวที่พัฒนาขึ้นมาเองหรือเป็นหัวหน้าทีมพัฒนาก็แล้วแต่ นั่นหมายความว่าคุณเป็นคนที่มีความสามารถและมีศักยภาพมากพอจะได้รับเลือกยังไงล่ะ

5.Skill

ข้อมูลที่จะใส่ก็มีตั้งแต่ Program Language , Frameworks , Tool , Databases และ Platforms แน่นอนว่าเเต่ละหมวดหมู่ก็จะแยกกันไปตามความถนัดของแต่ล่ะคน จะมากหรือน้อยกว่านี้ก็ไม่ได้เป็นปัญหา สำหรับเด็กจบใหม่บางคนอาจจะใส่ความถนัดเเต่ล่ะด้านมาในรูปแบบหลอดพลังงาน ขอบอกไว้ตรงนี้เลยว่านั่นเป็นความคิดที่ผิด และหยุดทำแบบนั้นซะ ก่อนที่มันจะกลายเป็น Redflag ของคุณ

6.Education

ประวัติการศึกษาเองก็เป็นจุดสำคัญที่จะตัดสินว่าคุณจะผ่านเข้ารอบต่อไปหรือไม่ยิ่งกับเด็กจบใหม่ยิ่งสำคัญเพราะฉะนั้น ควรใส่ตั้งแต่ สาขาวิชา สถาบันที่จบมา ปีที่เริ่มเข้าศึกษาและปีที่จบการศึกษา สุดท้ายคือเกรดเฉลี่ย อย่างสุดท้ายสามารถเลือกได้ว่าจะใส่หรือไม่ใส่ แล้วแต่ดุลยพินิจเลย ลืมบอกไปว่าควรเริ่มใส่ตั้งแต่ระดับปริญญาขึ้นไปนะ เผื่อบางคนใส่ตั้งแต่มัธยมแบบนั้นจะเยอะเกินไปมากเลย

7.Certifications

พูดได้ว่า Certificate เป็นหลักฐานที่ยืนยันความกระตือรือร้นในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และยังช่วยยืนยันความสามารถและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน หากอยากให้ Resume ของคุณโดดเด่นจะลืมใส่ข้อนี้ไปไม่ได้เด็ดขาดเลยนะ

8.Languages

สุดท้ายแล้ว ก็คือภาษายิ่งสำหรับคนที่มีความถนัดด้านภาษามากกว่าหนึ่ง ก็ควรจะนำเสนอข้อดีด้านนี้ออกมา จุดที่ไม่ควรมองข้ามอีกอย่างคือ เมื่อมันเป็นความถนัดจึงมาบางคนที่ใส่มาในรูปแบบหลอดพลังงาน ซึ่งการทำแบบนี้ย่อมไม่สามารถบอกระดับความเชี่ยวชาญได้ทางที่ดีให้ระบุมาเลยดีกว่าว่ามีความถนัดในระดับ Beginner/Elementary , Fair , Good/Intermediate , Fluent หรือ Native

สรุป

โดยรวมแล้วการเขียน Resume ให้ดีก็เป็นหนึ่งในกระบวนการที่จะทำให้คุณเป็นหนึ่งในคนที่ได้รับคัดเลือกท่ามกลางผู้สมัครมากมาย จะได้รับเลือกให้ได้เข้าสัมภาษณ์หรือไม่ขึ้นอยู่กับศักยภาพของคุณเอง แต่เราเชื่อว่าหากคุณมีความกระตือรือร้นและพร้อมเรียนรู้เพื่อพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดแบบนี้แล้วล่ะก็ คุณจะได้รับผลตอบแทนที่สมกับความพยายามของคุณอย่างแน่นอน

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

บทความที่เกี่ยวข้อง

อยากลาออก แต่เจ้านายรั้งไว้ด้วย Counter Offer แบบนี้ควรรับไหม ?

Counter Offer คืออะไร ? ข้อเสนอที่บริษัทปรับให้ เช่นเงินเดือนสวัสดิการต่างๆที่เคยมีให้เพิ่มขึ้นจากเท่าเดิม มีไว้ไม่ให้พน

Jo

08 Sep 2023 | 1 นาทีอ่าน

Talance Hiring Guide : Firebase Developer #24

ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันนี้มือถือหรือสมาร์ทโฟนกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตของคนส่วนใหญ่ไปเสียแล้ว องค์กรต่าง ๆ ที่แข

Jo

14 Jun 2023 | 2 นาทีอ่าน

Talance Hiring Guide : Oracle Developer #23

หากจะกล่าวถึงแพลตฟอร์มจัดการ Databese ที่ได้รับความน่าเชื่อถือจากองค์กรมากมาย คงเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกจาก Oracle Databas

Jo

31 May 2023 | 1 นาทีอ่าน

Talance Hiring Guide : Apache Kafka Developer #22

ในยุคที่มีการเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากเทคโนโลยีมีความก้าวหน้าและพัฒนาไวมาก การเลือกใช้แพลตฟอร์มที่จะสามารถช่

Jo

23 May 2023 | 2 นาทีอ่าน

Talance Hiring Guide : JSON Developer #21

ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้การพัฒนาเว็บไซต์หรือโปรแกรมมีประสิทธิภาพ คือ การแลกเปลี่ยนและแสดงข้อมูลระหว่างระบบ เพราะหากทั้งสองฝ

Jo

20 May 2023 | 2 นาทีอ่าน

Talance Hiring Guide : Spring Boot Developer #20

ถ้าให้พูดถึงหนึ่งใน Framework ยอดนิยมที่ใช้สำหรับการสร้างแอพพลิเคชั่นแล้วละก็ คงหนีไม่พ้น Spring Boot อย่างแน่นอน ซึ่งมั